
1. การเสริมจมูกแบบปิด close rhinoplasty
คือ การเสริมจมูกที่ไม่ได้มีการเปิดดูโครงสร้างภายใน อาจใช้การลงแผลแบบผ่านรูจมูก 1 ข้างหรือ 2 ข้างก็เรียกว่าเป็นการเสริมจมูกแบบปิด การลงแผลแบบนี้จะลงแบบ Marginal incision คือ ลงแผลเลยริมจมูกเข้าไป 1-2 มม. เพื่อป้องกันการกรีดโดนกระดูกอ่อนปลายจมูก Lower lateral cartilage ซึ่งจะทำให้จมูกผิดรูปได้
วิธีการนี้ยังสามารถเย็บแผลโดยไม่มีไหมเย็บเลยออกมานอกจมูก เพื่อป้องกันแผลเป็นจากการเย็บและการเกิดเนื้อจมูกแหว่งจากการขาดเลือดบริเวณที่มีเส้นเลือดมาเลี้ยงน้อยของปลายจมูก (soft triangle ) หรือภาษาแพทย์จะเรียกว่า No man land ซึ่งห้ามเย็บบริเวณนี้ เพราะจะผิดรูปได้
การเสริมจมูกแบบปิดนี้อาจมีการนำไขมันปลายจมูกออก (Interdomal fat) การเย็บกระดูกอ่อนปลายจมูกเข้าหากัน (Interdomal suture) การตอกกระดูกฐานจมูก (Lateral osteotomy) การเสริมเนื้อเยื่อเทียม (Acellular dermal matrix ADM) เนื้อเยื่อไขมัน (Dermofat) หรือกระดูกอ่อนรองปลาย (Catilagenous graft) เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ

2. การเสริมจมูกแบบเปิด open rhinoplasty
คือ การเปิดโครงสร้างของจมูกใต้ผิวหนังทั้งหมดขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น ซ่อมแซม (Reconstruction) ส่วนที่ได้รับความเสียหาย ยืดปลายจมูก (Tip projection) ยืดฐานจมูก ( Septal extension) แก้ไขจมูกที่เบี้ยวเอียง (Deviation) เป็นต้น โดยจะมีการลงแผลที่รูจมูกทั้ง 2 ข้างและผิวหนังบริเวณฐานจมูก เพื่อเปิดโครงสร้างภายในขึ้นมา อาจมีการยืดผนังกั้นจมูกโดยใช้วัสดุต่าง ๆ ได้แก่ กระดูกอ่อน เนื้อเยื่อเกี่ยวพันของตัวเอง เนื้อเยื่อเทียม กระดูกเทียม เป็นต้น
การเสริมจมูกแบบเปิด แนะนำสำหรับ ผู้ที่มีปลายจมูกสั้น (Short nose) จมูกชมพู่มาก (Bulbous tip) จมูกเบี้ยวเอียงมาก (Deviation) แก้มาหลายครั้ง (Multiple revision) หรือชอบจมูกที่ค่อนข้างพุ่ง (Patient favor) เป็นต้น
สรุป การจะเลือกเสริมวิธีใดขึ้นตามความต้องการของผู้ป่วยว่าต้องการทรงจมูกแบบไหนและฐานจมูกเดิมและเนื้อจมูกเป็นอย่างไร รวมทั้งพิจารณาถึงข้อดีข้อเสีย ของแต่ละวิธี รวมทั้งโรคประจำตัวของผู้ป่วยและระยะเวลาพักฟื้นของผู้ป่วยเป็นสำคัญ